วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2557

REVIEW:สรรพสิ่งจาก Maybelline + how to แต่ง up ตาโตวิ้งๆ และแอบมีกระเบาๆ


           สวัสดีค้าบ ใกล้เข้าหน้าหนาวแล้วเนอะ แต่อากาศเมืองไทยก็ยังคงร้อน แดดเปรี้ยง อยู่เหมือนเดิม
จากที่ชอบใช้รองพื้นแบบ dewy look โกลว์ๆ ตอนนี้เราเริ่มอยากจะหารองพื้นที่คุมมันบ้างละ
ประจวบกับ เจ้า maybelline super mineral 24 foundation ออกมาพอดี๊พอดี แล้ววัตสันก็จัดโปร
ก็เลยไปสอยมาเลย
           แล้วเราก็ได้ไปเล่นกิจกรรมของเมเบลลีน โชคดีเลยได้รางวัลมาด้วยเลย
ต้องขอบคุณมากๆเลยนะคะ ไม่คิดเลยว่าจะได้ ดีใจมากเวอร์
เราได้เป็น  big eyes mascara กับ big eyes lovebag liner  ก็เลยกะว่าจะมารีวิวพร้อมๆกันเลย
รีวิวพร้อมๆไปกับ ฮาวทูนี่แหละ ฮ่าๆๆ
ชมพูสวยถูกจริตจีๆ
     ทีแรกเราตั้งใจให้ออกมาเป็นลุคลูกครึ่งหน่อยๆ แอบมีกระ แล้วก็ตาวิ๊งๆ แต่แต่งเสร็จดันไม่ลูกครึ่งซะงั้นอะ เราก็เลยไม่รู้ว่าจะตั้งชื่อว่าลุคอะไร ฮ่าๆ(หน้าก็กลมซะขนาดนี้ ดั้งก็งี้ ไม่รู้จะเอาอะไรไปฝรั่ง)

-ลุคนี้เราอยากได้ผิวแบบ healthy glow ไม่ใช่แบบ หน้าฉ่ำเยิ้ม หรือ shimmer glow 
เอาแบบ สุขภาพดี ใสใส เหยย รองพื้นคืออัลไล ไม่รู้จัก มีกระนิดๆ ไม่คอนทัวร์หนัก

-แต่งให้ตาโต แต่ไม่เยอะเกินไป ดวงตาเป็นประกายราวกับอัญมณี ขนตาฟู เอาพอสวยๆใสๆ ผู้ชายไม่กลัว(มั้ง555)

-คิ้วหนา แต่ก็แอบหักมุมนิดๆ ปากเบาๆ ทาให้ระเรื่อไม่เอาเป็นแบบปาดลิปสติก 

ปล. เพิ่งทำครั้งแรก อาจจะย่ำแย่หน่อยนะ บางภาพกล้องก็ไม่โฟกัส ภาพเบลอๆ เพราะบางทีคนแต่งก็เบลอๆ

มาดูของที่ใช้กันค่ะ

base make-up

1. Hada labo perfect gel
2. Maybelline super mineral 24 healthy long lasting foundation #B02
3. M.A.C  studio finish concealer #nw25
4. Mistine BB baby face loose powder (ตัวนี้เรา recommend เลย คือมันเหมือนตัวตายตัวแทนของ LM loose setting powder #translucent ก็ว่าได้ เนื้อแป้งอาจจะไม่ละเอียดเท่า มันจะฝุ่นๆกว่าหน่อย แต่รับรองได้ว่าคุมมันได้ดีกว่า แล้วแป้งก็ไม่ดรอป ไม่เปลี่ยนสีรองพื้นด้วย ไม่อุดตัน เราได้มาในราคา 95 บาท กับปริมาณ 15g เลิศๆๆ)

 Lips & Cheeks
1. Sleek blush #life's a peach 
2. Sleek face contour kit #light
3. Revlon colorburst lip butter #015tutti frutti


Eyes make-up
1. Daiso double eyelid aloe
2. Catrice eyebrow pencil #ash brown
3. Cathy doll eyebrow cara #03dark chocolate (ตัวนี้สีติดดี แต่มีวิ๊งนิดหน่อย รู้สึกสีนี้เข้มสุด แต่มันก็ยังออกสว่างอยู่ดี ปลื้ม)
4. In2it water proof gel liner #dark brown
5. Maybelline lovebag big eyes liner#baby pink
6. Maybelline the falsies big eyes volum'express
7. Sleek divine eyeshadow palette #oh so special (รูปด้านล่างจ้ะ)




หน้าสด จุ๊บุ จิบิค่ะ สดจนวินมอไซต์แถวบ้านไม่กล้าแซว  หนังหน้าก็สิวบุกเต้มมเลย หน้าไม่ไหว แต่ใจหนูพร้อมค่ะ
















                การที่จะทำให้ตาโตขึ้นนั้น ชั้นตาสำคัญค่ะ เคยสังเกตุไหม ผู้หญิงที่ชั้นตาหนาๆ เวลาแต่งตาออกมา ตาจะดูโตสวยกว่าชาวบ้านเขา   ชั้นตาที่หนาขึ้นทำให้ตาโตขึ้นได้จริงๆค่ะ แต่ต้องทำให้เนียนๆไม่งั้นมันจะดูแปลกไปเลย
    เราเคยใช้เทปติดมาแทบทุกแบบ ทั้งสีใส สีเนื้อ เทปสองหน้า สองแบบแรกมันจะดูออกชัดเลยว่าเราติด 
ถ้าไม่แต่งหน้าแบบจริงๆ อาจดูเหมือนมีสก็อตเทปที่ใช้แล้วติดตาอยู่ได้ค่ะ
     ส่วนแบบเทปสองหน้า เราก็ชอบนะมันเนียนกว่าแบบแรก แต่ข้อเสียมันก็เยอะ
-เวลาเราดึงออก ด้วยความที่มันเป็นเทปใสสองหน้ามันจะติดกับแผ่นพลาสติกใสอะค่ะ 
ตอนเราดึงมันก็ติดมาแต่กระดาษที่ปิดเทป แล้วมันจะเสียไปเลยค่ะ ต้องระวังมากๆ ใช้ไม้เล็กๆดึงเอา
-บางทีระหว่างวัน เจอเหงื่อ เจอความมัน เทปมันก็จะแล่บออกมาตรงหัวตาบ้าง หางตาบ้าง แล้วดูน่าเกลียดเลย
อันนี้แล้วแต่วัน บางวันก็ไม่เป็น
-เวลาหลับตาจะรู้สึกได้ว่ามันตึงจริงๆ แล้วก็เสียวมันจะแคว่ก หลุดออกมาด้วย ตอนลอกออกก็เจ็บ นานๆเข้าก็แสบหนังตาเลย
ควรลอกออกตอนล้างหน้านะคะ

   ด้วยเหตุทั้งหมดทั้งมวลนี้เราเลยเลือใช้แบบกาวค่ะ เพราะเป็นธรรมชาติ ติดโคตรทน ไม่ต้องเจ็บหนังตาเพราะการดึงแคว่ก
ถ้าทำเป็นคือจะเร็วมาก
ข้อเสียคือ อย่าทาหนามากเพราะมันจะแห้งช้าและเป็นคราบ และอย่าถูกาว จะเป็นคราบเช่นกัน
ตัวที่ใช้อยู่คือของ ร้านไดโซ ค่ะมี2สี เหมือนกันแต่สีเขียวจะมีตัวบำรุง
อย่าเพิ่งทาครีมนะ เดี๋ยวกาวมันจะไม่อยู่ ทำก่อนลง skincare
1. เอาไม่คัดชั้นตา เอาความหนาที่เราว่ามันโอเค แล้วลืมตามันจะแอบมีรอยพับขึ้นมานิดนึง
2. ทากาวตามรอยพับ อย่าทาหนาเอาพอดีๆ
3. เอาไม้คัดอีกทีเพื่อย้ำ แล้วลืมตา กดช่วงรอบพับให้แนบสนิททั้วอณูที่ทากาว

เปรียบเทียบ ข้างซ้ายทำแล้ว ขวายังไม่ได้ทำ

      (ขออภัยที่รูปมันใหญ่ไป แต่เราอยากให้เห็นผิว ก่อนและหลังลงรองพื้นชัดๆ จะได้เป็นตัวเลือกในการตัดสินใจฮะ)
      ลงสกินแคร์เสร็จ เราก็ลงรองพื้นเลย ไม่ต้องรอนานฮาดะตัวนี้ให้ความชุ่มชื้นดี และซึมเร็วมากไม่ทิ้งความมันไว้เลย
เราใช้นิ้วมือในการลงรองพื้น ค่อยๆกดๆเอา เราว่าถ้าใช้แปรงมันหนาไปอะ ใช้นิ้วมือไม่ก็ฟองน้ำไข่อะดีสุด 
      ตัวนี้จะค่อนข้างแมตนิดนึงนะ คนผิวแห้ง-ธรรมดา ไม่ต้องลงแป้งยังได้เลย คุมมันได้ดีเลยทีเดียว 
มันเป็นรองพื้นที่แมต แต่บาง ไม่เป็นคราบ(ถ้าไม่ทาเยอะ) ทาเยอะมันจะดูหนาแบบเห็นได้ชัด 
ปกปิดกลางๆ รอยชัดๆก็ปิดไม่ค่อยมิด แต่ตรงไหนที่ไม่มีรอย มันจะดูใสมาก ดูได้จากรูป จะบอกว่า สาวไทยที่ผิวขาว หรือขาวเหลือง ใช้เบอร์B02 จะดีกว่าเพราะมันจะ undertone เหลืองจะเข้ากับผิวมากกว่า เบอร์1มันออกชมพูๆ เดี๋ยวจะเทานะจ๊ะ
                     -ลงคอนซีลเลอร์ตามปกติ เราชอบใช้แปรง Detailer Brush ของ Real techniques ด้วยความที่แปรงมันเล็ก เราเลยสามารถ ควบคุมพื้นที่ในการลงได้ เพราะคอนซีลเลอร์แมคตัวนี้ เนื้อหนาและสีออกส้มๆ ซึ่งมันจะตัดกับรอยดำใต้ตาได้ดี แต่ถ้าลงเลยมาจากใต้ตามาก(บริเวณที่ฝรั่งชอบเอาคอนซีลเลอร์สีสว่างลงใต้ตาอะ ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี)

มันจะดูหลอกและดูแปลกมาก และมันจะหนาตกร่องรูขุมขนของเรา
                     -จากนั้นเซ็ตด้วยแป้งไม่มีสี เราลงเฉพาะใต้ตาที่ลงคอนซีลเลอร์ กับจมูก ส่วนบริเวณอื่นๆของใบหน้าเราไม่ลงแป้งค่ะ   เพราะอยากให้หน้าดูเฮลตี้ ไม่ใช่แมตด้าน รองพื้นตัวนี้ไม่ลงแป้งก็ไม่ดูมัน เป็น semi matte มากกว่า
                รูปด้านขวาคือเราลงบรอนเซอร์ จุดที่ลงก็แล้วแต่ใบหน้าแต่ละคนค่ะ ลองเสิร์ชดูในกูเกิ้ลเลย
แต่เราจะใช้ปลายแปรงค่อยๆวนๆ ให้มันกลืนกับผิวที่สุด คือไม่อยากให้ดูรู้ว่าคอนทัวร์ เลยออกมาดูเหมือนไม่คอนทัวร์อะไร แต่ในรูปเรายังไม่คอนทัวร์ดั้งนะฮะ
        มางัดดั้งกันค่ะ เราจะพยายามคอนทั้วแบบธรรมชาติ เน้นหัวคิ้วนิดนึง
1. ใช้สี The mail จากพาเล็ต sleek คอนทัวร์ตามปกติ
2. เราใช้แปรงหัวดินสอ แต้มบรอนเซอร์ แล้ววาด เป็นรูปเพื่อเน้นโครง อย่าลืมปลายจมูกและปีกจมูกด้วยนะ
3. ใช้แปรงปาดสีขาวแมต ระบายสันจมูกไปพร้อมกับเบลนด์ โครงที่ร่างไว้

ลงไฮไลท์ เราใช้นิ้วนี่แหละลง ปาดสีเบาๆแล้วค่อยๆกดๆให้เนียนไปกับผิว ลงตามรูปเลยค่ะ
หน้าจะดูวาวนิดๆ แต่ไม่ดูเป็น Shimmer glow
          ลุคนี้ของคิ้วหนาๆค่ะ จิงๆอยากให้ออกมาแบบ cara delevingne แต่รูปคิ้วไม่เหมือนเค้าอะ 
เอาเป็นว่าให้คิ้วหนาๆเป็นทรงธรรมชาติ ไม่ดูเป็นแบบเขียนมากอะจ่ะ

1. เราใช้ดินสอวาดเป็นสามเหลี่ยมแบบเอียงขึ้นหน่อย ยังไม่ต้องวาดหางนะ
2. ใช้แปรงหัวตัดเบลนด์หัวคิ้วให้ฟุ้งๆ แต่ไม่ฟุ้งจางๆนะ เอาให้ยังมีสี และเป็นหัวคิ้วที่หนาหน่อย
โดยเราวางแปรงเป็นแนวตั้ง แล้วปัดๆขึ้น จากนั้นปัดตรงจุดหักมุมให้ออกมาหน่อย แต่ก็ยังไม่เขียนหาง
จุดนี้จะเป็นจุดที่จะกำหนดว่าจะเขียนหางยังไงดี
3. เขียนหางจากตรงที่หักมุมลากมาไม่ต้องเยอะ ไม่ต้องเป็นทรงแหลมเจี๊ยกจนชัดไป และไม่กุด 
จากนั้นใช้แปรงหัวตัดปัดตามแนวที่เขียนหน่อย ไม่ให้มันเป็นก้อน
4. ระบายส่วนที่มันโหว่ๆ เอาแต่เติมช่องว่าง ไม่เอาถมที่นะคะ5555 อาจจะเอาสีที่ติดๆแปรงมาเบลนด์หัวคิ้วนิดนึง
เราใช้ สี boxed จากพาเล็ต Sleek #oh so special
5. ปัดมาสคาร่าคิ้ว เราจะไม่ปัดให้มันกลบสีคิ้วทั้งหมดนะ เดี๋ยวมันทองไปแล้วไม่เข้ากับผม เพราะตัวนี้สีอ่อนกว่าผมเรามาก
1. เราใช้สี The mail ระบายคัดเบ้า แต่คัดให้ถึงตรงหัวคิ้วเลย แล้วก็ลงขอบตาล่างด้วย
2. ใช้สี boxed ระบายช่วง v-shape ตรงหางตา เพื่อขยายรูปตาออกเล็กน้อยและให้เบ้าดูลึกค่ะ
3. ลงหางตาล่างจนเกือบถึงกลางตาดำ แล้วเอาแปรงหัวใหญ่ๆหย่อยเบลนด์ๆๆ
4. จะเห็นว่าตอนที่ยังไม่เขียนไลเนอร์ ตาดูตกมากเกินไป เราเลยเขียนเติมหางตาถึงกลางตาดำ เอาให้เป็นเส้นขนตาพอ
ไม่วิง ไม่เขียนตาตกอะไรทั้งนั้น
5. เขียนไลเนอร์วิ๊งของเมเบลลีน ที่หัวตาล่างลากมาถึงใต้ตาดำ แล้วก็เขียนลากตามรูปตาแต่เขียนข้างบน lash line ไม่เขียนทับนะ แล้วก็เน้นตรงตรงตาดำ เพื่อเน้นตาให้เด่นขึ้น
maybelline lovebag big eyes liner ตัวนี้ได้มาเป็นสี baby pink ค่ะ มันจะออกเหลือบๆชมพูหน่อย ไม่ได้ชมพูเลยซะทีเดียว
ตัวนี้ถ้าเทียบกับ Etude tear drops เราว่าพิกเม้นต์มันยังไม่ชัดเท่าอีทูดี้นะ มันจะเหลือบๆพอดี ไม่วิ๊งเวอร์ แต่ถ้าอยากวิ๊งจัดๆ ทาซักสองรอบค่ะ กำลังดี ค่อนข้างติดทนนะ เวลาล้างออกมันจะลอกเป็นฟิล์มค่ะ 


มาปัดมาสคาร่ากันเถอะ
มาสคาร่าตัวนี้ เนื้อค่อนข้างแห้งนะ แแต่ทำให้ขนตาดูฟูหนาเลย แต่เหมือนมันจะเป็นก้อนๆนิดนึง
เรื่องกันน้ำก็ดีเยี่ยมเหมือนเดิม เราชอบแปรงขนตาล่างมาก ขนตาล่างเป็นช่อๆสวยเลย ปัดซ้ำให้หนาได้ ไม่เลอะซักกะติ๊ด
ซอกซอนได้ดีเลย เลิฟมากกกกกก
ข้างซ้ายคือปัดแล้ว ขวายังไม่ปัด(ขออภัยที่กล้องไม่โฟกัส) จะเห็นว่าข้างขวาขนตาล่างมองแทบไม่เห็น
ขนตาบนเราเยๆนะ เพราะมันค่อนข้างจะเหมือนตัวอื่นๆของเมเบลลีน คือหนายาวตามมาตรฐานเค้าเลย
แต่ขนตาล่างนี่สิ ชอบมาก ดีมาก recommend เลย

             สร้างรอยกระปลอมเราเคยเห็นหลายคนใช้ดินสอเขียนคิ้วไม่ก็ไลน์เนอร์จิ้มๆเอา มันกลมๆไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่
เราเลยไปเจอบล็อคเกอร์ฝรั่งคนนึงเค้าสอนทำกระปลอม
            โดยการใช้มาสคาร่าสีน้ำตาลแต้มที่นิ้ว แล้วกดนิ้วเบาๆเข้าหากันและตบๆลงตามหน้า เราจะได้กระที่เนียนขึ้น เพราะขนาดจะไม่กลมไป และไม่เท่ากัน จะเป็นกระที่ดูกระจายๆหน่อย  เราเน้นโหนกแก้มนิดนึง แอบลงหน้าผากกะคางด้วย
เราแปะคลิปไว้ให้ละกันนะเผื่อไม่เข้าใจ



        เราลงบลัชโดยที่ใช้นิ้วแทนการใช้แปรงเพราะอยากให้สีกลืนเข้ากับผิว โดยเริ่มกดจากโหนกแก้ม และไล่ลงตามแนวที่ลงกระ   ส่งผลให้กระของเราดูเนียนขึ้น

เก็บช่วงขอบปาก ไม่ต้องเนี๊ยบปาก แค่ให้รูปปากเดิมของเราดูเข้ารูปสวยก็พอ
แล้วก็ลงลิปสีระเรื่อ ตัวนี้ให้ความชุ่มชื่น เราเอาลิปกดลงที่ปากแล้วใช้นิ้วกดๆอีกให้สีกระจายดูระเรื่อ
เสร็จแล้วววววว  รูปสดจากกล้องค่ะแบบใกล้ๆ เพราะรูปด้านล่าง เราจะโฟโต้ช็อป รัวๆ
เปิดแฟลช+ปรับสี กระหนูหายไปเลยอะ ฮือๆๆ


ขอบคุณที่เสียเวลามารับชมนะคะ เราอาจไม่ได้แต่งหน้าเก่งอะไร 
แค่อยากแชร์ของดีๆ กับทริคให้เพื่อนๆดูกัน
บางทีนึกลุคอะไรออกได้เราก็จะชอบลองแต่งเล่นดู
อาจจะไม่สวยเหมือนวาดไว้ทั้งหมด
และนี่ก็เป็น How to เต็มๆครั้งแรกของเรา
อาจจะทำได้ไม่ดีนัก
เราจะพยายามปรับปรุงให้มันดีขึ้นอีก
คิดซะว่ามาดูเพื่อนนั่งบ่น นั่งแต่งหน้าละกันเนอะ

เจอกัน How to หน้านะคะ เราคิดลุคได้ละล่ะ เหลือแค่ลงมือทำ ฮ่าๆ

Thanks for watching 
bye...









วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2557

REVIEW [PONDS Lemon cold cream] ครีมล้างหน้าที่โลกลืม



ดีค่า   เราหายไปสักพักเลย ไม่รู้ว่าที่เขียนนี่จะมีคนติดตามรึเปล่า ฮ่าๆ
หายไปหลายเดือนไปเจอเรื่องราวเยอะแยะมากมายเลย เห้ออ

แต่ก็ได้เจอหลายไอเท็มดีๆเหมือนกัน

และวันนี้เราก็จะมารีวิว คลีนซิ่งครีมที่มีวางขายมากมายเกลื่อนกลาด ไม่ว่าจะ tops , 711 , watsons , boots โอ้ยยเยอะแยะ แถมราคาก็ไม่ถึงร้อยนึง ประมาณหกสิบกว่าบาท เราอยากบอกว่าความสามารถมันเดินตัวมากๆ

ปล. ขออภัยถ้าหากรูปบางรูปอาจแปลกๆ เพราะไล์รูปหายแล้วเรากู้มาใหม่ไฟล์มันเลยไม่ค่อยสมบูรณ์ ขาดๆหายๆแหว่งๆบ้าง

โอเช มาดูกันเลย




    หน้าตาแบบนี้คงเคยเห็นกันมาบ้างแล้วล่ะสิ
เราเห็นบ่อยมาก แต่ไม่เคยสนใจ และไม่คิดว่ามันจะใช้ได้ดี
จนกระทั่งเกิดความจำเป็นบางอย่างที่จะต้องใช้ เลยหยิบมาประมาณ "ใช้แก้ขัดไปก่อน"

พอมาลองแล้ว เออ มันดีพอๆกับรีมูเวอร์หลายๆตัวเลยนะ เผลอๆดีกว่าแบรนด์ที่แพงกว่าซะอีก
หลายๆคนอาจใช้แล้วไม่เวิร์ค อาจจะเพราะ มันบ้าง สิวอุดตันบ้าง ล้างไม่หมดบ้าง

แต่ลองมาดูวิธีเรานะ เผื่อจะเปลี่ยนใจ อิอิ

เริ่มจากหน้าสดใสๆ คล้ายเพิ่งตื่นนอน เฮ้ยยย ไม่ใช่ นี่คือหน้าที่ผ่านการแต่งมาแล้ว
อุดมไปด้วย สิ่งที่ใช้ดังนี้

"Base makeup"
- Bisous bisous silky pore primer
- Bourjois heathy mix foundation #52
- Mac studio finish concealer #nw25
-Laura mercier loose setting powder #translucent

"Cheeks&contour"
-Sleek blush #pixie pink,life's a peach
-Sleek contour kits #light

"Brows"
-Catrice  eyebrow stylelish #ash brow
-Etude color my eyebrows 

"Eyes"
-Naked3 eyeshadow
-In2it waterproof jel liner #dark brown
-Maybelline the false lash volum express

"Lips"
-Mac lipstick #please me


หลบตาบ้าง (ภาพแอบเหลืองเบาๆ)

บ้ากล้องพอละ จริงจังกันเถอะ เริ่มจากเราจะใช้น้ำเกลือ หยอดลงบนสำลีที่ทับกันอยู่ 4 แผ่น


จากนั้นเอาฝ่ามือประกบสำลีแล้วออกแรงบีบนิดๆ ให้น้ำเกลือส่วนเกินออกมา
เราก็จะได้สำลีแบบหมาดน้ำนิดๆ ไม่เปียกชุ่ม

แล้วก็แยกออกทีละชิ้น(ขออภัยรูป ไฟล์มันเสียไม่มีเวลาถ่ายใหม่)
แล้วพักไว้ก่อน(วิธีนี้เราใช้กับพวก คลีนซิ่งวอเตอร์ด้วยนะ ประหยัดมากๆ)


เราจะตักเนื้อครีมออกมาประมาณเหรียญสิบ 
แล้วแต้มโลดตามอัธยาศัย 
นวดเบาๆ เราชอบฟีลนี้แหละ ให้ความรู้สึกเหมือนนวดหน้าไปในตัวด้วย ผิวก็ชุ่มชื้นขึ้น
ขนาดเราผิวผสมยังชอบเลย รู้สึกหน้าเนียนขึ้นด้วยล่ะ

รอบดวงตาก็นวดๆๆ อย่าให้เหลือ


เราจะนั่งนวดจนครีมขาวๆกลายเป็นเหมือนน้ำมันใสๆ นั่นแหละ
เห็นมั้ยคราบมาสคาร่า ไลน์เนอร์เต็มหน้าเลย



เช็ดออกด้วยสำลีหมาดน้ำของเรา
ข้อดีคือมันเช็ดเอาพวกคราบเครื่องสำอางค์ที่ครีมมันละลายออกมา ได้ดีกว่า
ใช้สำลีแห้งๆ แถมทำร้ายผิวน้อยกว่า และก็ไม่ทิ้งคราบครีมมันเยิ้มเหนียวหน้า
แล้วกลายเป็นสิวอุดตันในที่สุด
ลองนึกมาดูพอใช้สำลีแห้งๆฝืดๆ มันก็ต้องออกแรงถูใช้ป่าว ทำร้ายผิวหนักเลย
ดูเลย ไม่หลงเหลือคราบเมคอัพใดๆ


จริงๆภาพนี้ถ่ายเต็มๆ แต่ไฟล์มันเสียกู้มาได้แค่ 25% เลยเหลือแค่เนี้ย ฮือออ



ล้างเสร็จเราก็ใช้โฟมตัวนี้ล้างต่อ เวิร์คมาก เรื่ดสุดๆ ดีกว่าเจลหลอดเขียวอีกขนาดตัวนั้นเราว่าดีมากๆแล้วนะ คลีนหน้าได้สะอาดยิ่งขึ้นไปอีก สิวก็ลดลงโอยยยปลื้มเวอร์
ใครยังไม่เคยใช้ จะไล่ให้ไปซื้อเดี๋ยวนี้เลย 


เสร็จ จบ คลีนหน้าหมดแล้วสบายใจและสบายหน้า 

สรุป... หลังจากใช้มากระปุกที่ 3

สิวเพิ่มมั้ย?       เราว่ามันก็ปกตินะ เหมือนตอนใช้ bifesta เลยอะ อันนี้แล้วแต่คนนะ
แต่เราเป็นคนที่สิวขึ้นง่ายเหมือนกัน 
ถ้าวันที่แต่งหน้า เราล้าง pond's 2 รอบ >> bifesta >> smooth-e foam 
ถ้าแต่งปกติก็ pond's 1 รอบ >> bifesta (แล้วแต่ความขยันนะ บางวันก็ไม่ใช้) >> smooth-e foam

จริงๆที่ตามด้วย bifesta ไม่ใช่ pond's ไม่สะอาดนะ
แต่ไม่รู้อะ เอาชัวร์ไว้ก่อนเพราะเราแต่งหน้าทุกวัน
เคยใช้แบบไม่ใช้ bifesta ตามนะ ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร สิวก็ขึ้นปกติ(มาเวลามีประจำเดือน)

ล้างสะอาดไหม?     สะอาดเลยแหละ มาสคาร่ากันน้ำออกหมด เริ่ด
ความชุ่มชื้น? ให้ความชุ่มชื้นได้โอเคนะ ชอบีลที่เวลานวดอะ เหมือนได้ผ่อนคลาย แล้ว
หน้าเราชุ่มชื้นขึ้นด้วย ผิวเนียนขึ้นด้วย

ข้อเสีย?              ไม่รู้อะ ไม่น่ามีนะ อยากให้กระปุกใหญ่กว่านี้มั้ง แล้วมีพายตักด้วย(ความขี้เกียจล้วนๆ)
อยากให้มีหลายๆสูตรด้วย อิอิ 

ซื้อต่อไหม?        ซื้อค่ะ จะซื้อไปเรื่อยๆ ราคาถูก คลีนผิวก็ดี ไม่รู้ติอะไรดี 


ก็ไม่รู้จะพิมไรดีละ

ไปละ ...... บายค่ะ



Thnks for watching ^^


























วันอาทิตย์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2557

REVIEW: MAC face & body foundation



สวัสดีค่าาา

วันนี้เราจะมารีวิวรองพื้นตัวใหม่ของเราที่เราเลิฟสุดๆเลยในตอนนี้  ก่อนหน้าที่จะตัดสินใจซื้อก็หารีวิวมากมายแต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นรีวิวของบล็อกต่างประเทศ บล็อกไทยหาแทบไม่มีเลย ตัวเราเองอยากจะดูรีวิวคนไทยมากกว่า เพราะอยากรู้ว่าสภาพอากาศร้อนๆแบบบ้านเรานี้มันจะสามารถใช้ได้รึเปล่า สุดท้ายก็ตัดสินใจซื้อมาลองเสี่ยงดู

เนื่องจากเจ้ารองพื้นตัวนี้รีวิวไทยน้อยมากๆ เราก็เลยอยากจะมารีวิวความเจ๋งของเจ้าหนูอ้วนป้อมตัวนี้ให้หลายๆคนได้ตัดสินใจค่ะ

สภาพผิว : ผิวผสม แปรตามสภาพอากาศ  หน้าหนาวผิวจะแห้ง หน้าร้อนผิวมัน








มาดูผลิตภัณฑ์กันก่อนเลย  
เจ้ารองพื้นตัวนี้ มาในปริมาณ 120 ml. ในราคา 1650 บาท ถือว่าคุ้มมากๆ
เพราะปกติแล้ว รองพื้นที่เราซื้อส่วนใหญ่จะมาในปริมาณ 30 ml. คือจะใช้ได้ประมาณ 2 เดือน (สำหรับเรา)
และเจ้าอ้วนป้อมนี่ มาในปริมาณ 120 ml. คงจะใช้ได้หลายเดือนทีเดียว อ้อ และมันมีอายุการใช้งานถึง 2 ปีเลยค่า
แต่จากการใช้งานแล้วเราคิดว่า เราใช้ปริมาณในการทาเยอะกว่ารองพื้นตัวปกติที่ใช้นะ ประมาณเท่าเหรียญ 10 






เนื่องจากว่าเนื้อมันเหลวมาก จนแทบจะเป็นน้ำ เพราะ เค้าบอกว่ามันเป็น water-base
และเนื้องบางเบาไม่ได้แน่นเท่าไหร่ เนื่องจากมันเป็น light coverage แต่สามารถ build ให้เป็น medium ได้
เห็นบล็อกเกอร์ต่างประเทศบางคนบอกว่ามัน build ให้เป็น full ก็ได้นะ 
อืมม แต่จากที่เราใช้ ต้องรอให้แต่ละ layer ที่เราลงมันเซ็ตตัวก่อน แล้วค่อยลง layer ต่อไป มันจะปกปิดได้โอหน่อย
ชอบตรงที่ ไม่ว่าจะ build กี่ชั้น มันก็ดูไม่หนา ไม่แป้ง ไม่มีคราบ โอยกรีดร้อง ยิ่งตอนลงแป้งเสร็จนะหน้าดูใสเลย โดยเฉพาะคนที่ผิวหน้าดีอยู่แล้ว ผิวจะดู flawless ไปเลย
ตอนแรกเห็นมันดูเหมือนไม่เซ็ตตัวสักที ยังดูเงาๆอยู่ แต่ดูในโมเมพาเพลิน เค้าบอกว่า มันจะเซ็ตตัวเป็นฟิล์ม ก็เลยดูเงาๆ


ในเรื่องของสี เบอร์มันจะไม่เป็นเหมือนตัวรองพื้นรุ่นอื่นๆของ MAC มันจะขึ้นต้นด้วย N กับ C
N = NW
C = NC
แล้วก็ขวดใหญ่ 120 ml. จะมีแค่โทน C นะคะ 

โทน C จะมี C1 ไปจนถึง C7
ส่วนโทน N จะมี N1 N2 N3 N5 N7 N9

ที่เราใช้เป็นเบอร์ C1 เป็นเบอร์ขาวสุด
แต่ผิวเรา NC30 นะ แต่มันใช้แล้วไม่วอกเลย เข้ากันมากแถมหน้าดูผ่องๆด้วย


และเราได้มีโอกาศทาไปลุยตลาดนัดจตุจักร ตั้งแต่ 11.00 จนถึง 3 โมงกว่าๆ เหงื่อแตกพลั่กท่วมหน้า
ไม่ได้มีโอกาสเติมแป้งเลย ได้แต่เอาทิชชู่ซับเหงื่อ
ขอบอกว่า เลิศศศศศ


คือเห็นได้เลยว่าเหงื่อซ่ก มากกก แต่!!!! รองพื้นเราไม่เป็นคราบเลย แต่เป็นตรงมุมปากนิดๆ มัน crack เวลายิ้ม
ดูเหมือนไม่ได้ทารองพื้นเลยเนอะ นี่คือเราลงประมาณ 3-4 layer เลยนะ
เค้าก็ไม่ได้บอกว่ามันกันน้ำ หรือคุมมัน หรืออาจจะเป็นเพราะเราทาไพรเมอร์ช่วยด้วยมั้ง
ใช้ตัวนี้ 

แต่มันก็ไม่ใช่ไพรเมอร์แบบคุมมันอะไรขนาด Benefit pore professional นะ
แค่ทำให้หน้าเรียบเนียน คุมมันได้นิดหน่อย หน้าก็ยังมันอยู่หน่อย
แต่ผิวลื่น ลงรองพื้นได้ง่าย ติดหน้าขึ้น


รูปนี้คือหลังจากตอนที่ไปสมัครงาน ตั้งแต่ 11 โมงครึ่ง นั่งรถไฟฟ้าตั้งแต่ หมอชิต มาจน ปุณนวิถี นั่งรถเมล์  ต่อวินมอไซต์  ตากแดดเมษา จนถึงบ่ายสามยังเดินชิลพารากอนต่อได้เลย 
ซับมันด้วยทิชชู่นิดหน่อย ไม่ได้ลงแป้งเพิ่ม
สีรองพื้นไม่ดรอปนะ เราว่าเป็นรองพื้นที่ติดทน ปกติคือใช้ทิชชู่ซับแล้วมีรองพื้นติด แต่ตัวนี้ไม่เป็นเลย ไม่มีรองพื้นติดมาเลย ถ้าระหว่างวันซับหน้าแล้ว touch up ด้วยตัว mineralize skiin finish natural นะ โอยยย ผิวใสวิ้งเวอร์

ปล. ที่เห็น matte ใต้ตาอันนั้นเราทาคอนซีลเลอร์ mac studio finish แล้วเซ็ตด้วยแป้งฝุ่น LM และลงแป้ง MAC studio perfect บางๆ มันเลยแมตมากๆๆ ทั้งวันไม่ได้ซับใต้ตาซัดจิ๊ดนึง



สรุปเลยนะ

          เป็นรองพื้นที่คุ้มค่าคุ้มราคา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่ผิวแห้ง และต้องการรองพื้นที่ปกปิดไม่มาก
เป็นรองพื้นที่ใช้ได้ทั้งหน้าหนาว หน้าร้อน ไม่เหนอะหนะ ไม่อุดตัน(สำหรับเรา)
มีเฉดสีให้เลือกเยอะ    แต่อาจจะหาซื้ออยากหน่อย เพราะมีแค่ในเวป กับ สยามเซ็น เท่านั้น
แต่เคาท์เตอร์ตามห้างปกติก็มีให้ลองนะคะ  สนใจไปลองกันได้ 
        ล่าสุดไปลองที่สาขาเซ็นทรัลลาดพร้าวมา แต่ไม่ซื้อ BA. เค้าก็น่ารักนะ ให้กระดาษมาเช็ดมือด้วย ยิ่งสาขา สยามเซ็นนี่ไม่ต้องพูดถึง โหรักคุณน้า BA. คนนั้นเลย 
เอาเป็นว่าถ้าสนใจก็ไปลองกันก่อนเนอะ 

ปล. มาเพิ่มเติมนะคะเนื่องจากลืม

ข้อดี  ดูบางเบา เป็นธรรมชาติมากๆ build กี่ชั้นก็ไม่ดูโบ๊ะ  ถึงจะไม่ช่วยคุมมันเลย ก็นับว่าติดทนดีเลยทีเดียว ปริมาณเยอะ คุ้มค่า คุ้มราคา มีสีให้เลือกเยอะเข้ากับทุกโทนผิว

ข้อเสีย  ไม่คุมมันเลย  เนื่องจากเนื้อมันเบาบางมาก ทำให้เวลาลงแล้วไม่ปกปิดดั้งใจซะที มันก็เลยต้องใช้ปริมาณมากกว่าปกติ  ต้องรอให้แต่ละชั้นเซ็ทตัวก่อนจึงจะลงชั้นต่อไปได้สวย ไม่งั้นมันอาจจะดูเป็นคราบได้ เลยอาจจะเสียเวลานานนิดหน่อย





Thanks for watching ^^

Bye..











วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2557

REVIEW: MAC STUDIO FINISH CONCEALER [apply on my dark circles under the eyes]






สวัสดีค่ะ วันนี้เราจะมารีวิวคอนซีลเลอร์สุดรักที่ใช้มาตลอด
แล้วก็ยังหาตัวที่แทนที่เจ้านี่ไม่ได้เลย
เนื่องจากแพนด้ารุ่นแม่อย่างเรา ยากนักที่จะหาคอนซีลเลอร์มาปราบได้  
ส่วนใหญ่ทาแล้วมันจะออกมาเทาๆ ดูลอยๆ น่ากลัวกว่าตอนที่ยังไม่ได้ทาอีก


มาดูหน้าตามันเลยดีกว่า เย้!!

MAC  studio finish concealer เราใช้สี nw25

     เราจะเห็นได้ว่าเนื้อมันแห้งมากกกกก  แต่มันก็ไม่ได้แห้งอย่างนี้ตลอดเวลา
เนื้อมันจะแปรสภาพตามอุณภูมิของที่ที่เราเก็บมันไว้ บางทีเราเคยวางไว้ใกล้ๆหน้าต่างแดดสาดเข้ามา
มันก็แอบกลายเป็นเนื้อครีมมี่เลยอะ  
     สิ่งที่เราชอบมากๆของเจ้านี่ก็คือ มันใช้ได้นานมากกกก ถ้าใช้ทุกวันนะ อยู่ได้ประมาณ 8-9 เดือนเลย
นานกว่าอายุมันอีก แต่ของเรากว่าจะหมดก็ปีนึงพอดี  คุ้มนะกับราคา 850 บาท แต่ได้ปริมาณที่คุ้มค่า ใช้ได้นาน เนื้อโอเค มีให้เลือกทุกสีผิว ติดทนมาก กันน้ำ ปกปิดโคตร ถือว่าคุ้มสุดๆ

คือก่อนใช้เราจะวอร์มมันให้เนื้อมันครีมมี่นิดๆ จะได้เกลี่ยง่ายๆหน่อย วอร์มมันในกระปุกเลย

       ความจริงผิวเรา undertone เหลืองนะ แต่ด้วยรอยใต้ตามันคล้ำมากออกดำๆเทาๆ เราเลยต้องใช้สีที่ undertone  ชมพูมาเพื่อหักล้าง นอกจากจะทำให้กลบได้ดีขึ้นแล้ว ยังดูกลมกลืนด้วย
       ถ้าใต้ตาสีแบบเรา ใช้คอนซีลเลอร์เหลืองๆ มันก็จะเทาเลย คืออุบาทมาก(ขอหยาบเพื่ออรรถรส)
ปกติสีผิวเรา nc20 แต่คอนซีลเลอร์แมคมันจะอ่อนกว่ารองพื้นนะ แม้ว่าจะเป็นเบอร์เดียวกันก็ตาม
       ตอนซื้อครั้งแรก บีเอก็หยิบสีนี้มาให้ เข้ากับผิวมาก แต่หลังๆมันดูเข้มกว่า ส้มชัดเลย พอไปซื้อเบอร์ nw20 ก็อ่อนไปอีก จนเรามาค้นพบว่าต้องทาคู่กับรองพื้นไง คือหน้าเปล่าๆเหลืองๆแล้วมาลงคอนซีลโทนชมพูเข้าไป คือจบ แต่ตอนนั้นยังอยู่ ม.5 อยู่เลย ยังเด็กอยู่ไม่รู้เรื่องหรอก (อิอิ เข้าข้างตัวเองไป๊)



โอเค บ่นมาพอสมควรละ
(เรารู้ว่าหลายคนก็ไม่ได้อ่านหรอก)



1. naked eyes เลย เปล่าๆเปือยๆ
2. เราจะใช้วิธีปาดไปก่อน แล้วค่อยๆตบเก็บรายละเอียดเอา
3. คือข้างซ้ายลงแล้ว เทียบกับขวาที่ไม่ได้ลงอะไร
4. ลงทั้งสองข้าง 
5. ลงแป้งฝุ่นโปร่งแสง ห้ามมีสีเลยถ้าเป็นไปได้ เพราะมันจะทำให้คอนซีลสีนี้ส้มเลยจ้า 
เราใช้ Laura mercier loose setting powder สี  translucent กริ๊บสนิทเว่อร์

จะเห็นได้ว่ามันยังแพนด้าอยู่นิดๆ แต่เราใช้แปรงอายแชโดว์ แตะแป้งผสมรองพื้นเกลี่ยอีกที 
จะกริ๊บมาก เหมือนเกิดมาไม่เคยตาคล้ำอะ 



แต่อย่าเพิ่งตัดสินใจดูก่อนว่ารับข้อเสียมันได้ไหม

It's crack!!!!!

แอบเป็นคราบนิดๆ  ภาพนี้อย่าคิดว่าไม่ใช่ตาเรานะ เราติดสติ๊กเกอร์เพิ้มชั้นตา


จ้ะ มันตกร่องนะ สำหรับคนมีร่องใต้ตา แต่ถ้าเตรียมผิวดีๆ ใต้ตาชุ่มชื้น แต่ไม่มันเยิ้ม มันจะดีมาก
ตบด้วยแป้งฝุ่นดีๆสักตัว ก็จะอยู่ทนไร้ร่อง แต่คือถ้าใต้ตาแห้งเป็นขุยอยู่ บอกเลย ห้ามทา มันจะออกมาประมาณปากแห้งเป็นขุยแล้วทาลิปแมต นั่นล่ะ 



เอาละ มาดูข้อดีมากๆอีกข้อบ้างดีกว่า


left : อันนี้ลองปาดดูบนแขน
middle : ฉีดน้ำใส่ เปิดฝักบัวแรงๆ ก็ไม่หลุด
right : เอานิ้วถูๆๆๆๆ  จางลงไปบ้าง แต่นางก็ไม่หลุดนะจ๊ะ

สรุปคือ ควรล้างด้วย cleansing เท่านั้น เพราะเดี๋ยวมันจะออกไม่หมดแล้วเกิดการสะสม อุดตัน
ที่เราปาดบนแขนเนี่ย เอาสบู่ถูก็ไม่ออก 


ให้คะแนน

เนื้อผลิตภัณฑ์  4/5
ความบางเบาเป็นธรรมชาติ  2/5
การปกปิด  5/5
เม็ดสี  5/5
กลิ่น  3/5
คงทน  4/5
กันน้ำ 5/5
ราคา  5/5
ความพอใจ  5/5

เอาไว้ตัดสินใจละกันเนอะ 



Thanks for watching